สงครามกัมพูชา–เวียดนาม
สงครามกัมพูชา–เวียดนาม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามอินโดจีนครั้งที่สาม, สงครามเย็น และความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต | |||||||
เรือโซเวียตที่ได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสีหนุวิลล์กัมพูชา พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
กัมพูชาประชาธิปไตย (1979–1982) หลังการโจมตี: CGDK (1982–1990) ไทย (ปะทะริมชายแดน) |
เวียดนาม FUNSK หลังการโจมตี: 1979–1989: เวียดนาม สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา 1989–1991: รัฐกัมพูชา สนับสนุนโดย: | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
พล พต เขียว สัมพัน เอียง ซารี ซอน ซาน เดียน เดล นโรดม สีหนุ เปรม ติณสูลานนท์ ชาติชาย ชุณหะวัณ |
เล สวน เจื่อง จิญ เหงียน วัน ลิญ Văn Tiến Dũng เล ดึ๊ก อัญ เฮง สัมริน ฮุน เซน แปน โสวัณ เจีย ซีม | ||||||
กำลัง | |||||||
1979: 73,000 นาย[13] 1989: 30,000 นาย[หมายเหตุ 1] |
ทหารเวียดนาม 150,000–200,000 นาย[หมายเหตุ 2] ทหารลาว 1,000 นาย (1988)[15] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
1975–1979: |
1975–1979: ถูกฆ่า 10,000 นาย[16] 1979–1989: เวียดนาม: ถูกฆ่ามากกว่า 15,000 นาย[17]–25,300[18] บาดเจ็บ 30,000 นาย[17] กัมพูชา: ไม่ทราบ รวม: ถูกฆ่า 25,000–52,000 คน[19] | ||||||
พลเมืองกัมพูชาถูกฆ่ามากกว่า 200,000 คน[20] (ไม่รวมผู้เสียชีวิตจากทุพภิกขภัย) พลเมืองเวียดนามถูกฆ่ามากกว่า 30,000 คน (ค.ศ. 1975–1978)[19] |
สงครามกัมพูชา-เวียดนาม (เขมร: សង្គ្រាមកម្ពុជា-វៀតណាម, เวียดนาม: Chiến tranh Campuchia–Việt Nam) รู้จักกันในเวียดนามว่า การโต้กลับที่ชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ (เวียดนาม: Chiến dịch Phản công Biên giới Tây-Nam) และโดยกลุ่มชาตินิยมกัมพูชาว่า การโจมตีกัมพูชาของเวียดนาม (เขมร: ការឈ្លានពានរបស់វៀតណាមមកកម្ពុជា) เป็นความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและกัมพูชาประชาธิปไตย สงครามเริ่มขึ้นด้วยการปะทะตามพรมแดนทางบกและทางทะเลของเวียดนามและกัมพูชาระหว่าง พ.ศ. 2518 ถึง 2520 ต่อมาในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เวียดนามเริ่มปฏิบัติการรุกรานกัมพูชาเต็มขั้นและยึดครองประเทศได้หลังล้มล้างรัฐบาลเขมรแดง
ระหว่างสงครามเวียดนาม คอมมิวนิสต์เวียดนามและเขมรแดงเป็นพันธมิตรกันเพื่อสู้รบกับรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรซึ่งมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง แม้แสดงท่าทีร่วมมืออย่างเปิดเผยกับเวียดนาม แต่ผู้นำเขมรแดงเกรงว่าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกำลังวางแผนจัดตั้งสหพันธ์อินโดจีนโดยมีเวียดนามเป็นแกนนำ เพื่อชิงตัดหน้าความพยายามของเวียดนามในการครอบงำพวกตน ผู้นำเขมรแดงจึงเริ่มกวาดล้างกำลังพลที่ได้รับการฝึกจากเวียดนามในกองทหารของตนเองเมื่อรัฐบาลลอน นอลยอมแพ้ใน พ.ศ. 2518 จากนั้น ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2518 กัมพูชาประชาธิปไตยซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่โดยเขมรแดง เริ่มทำสงครามกับเวียดนาม โดยโจมตีเกาะฟู้โกว๊กของเวียดนาม แม้การสู้รบเกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ แต่ผู้นำของเวียดนามหลังการรวมชาติกับกัมพูชานั้นได้แลกเปลี่ยนทางการทูตหลายครั้งตลอด พ.ศ. 2519 เพื่อเน้นความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สมมติว่าเป็นจริงระหว่างกัน อย่างไรก็ดี เบื้องหลังฉากนั้น ผู้นำกัมพูชายังคงกลัวสิ่งที่พวกเขารับรู้ว่าเป็นการขยายตัวของเวียดนาม เมื่อเป็นเช่นนั้น ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2520 เขมรแดงจึงเริ่มการโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ต่อเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง เวียดนามเริ่มการตีโต้เพื่อแก้แค้นเมื่อปลาย พ.ศ. 2520 เพื่อพยายามบีบให้รัฐบาลกัมพูชาเจรจา ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2521 ทหารเวียดนามถอนออกไปเพราะเป้าหมายทางการเมืองไม่บรรลุผล
การสู้รบขนาดเล็กดำเนินไประหว่างสองประเทศตลอด พ.ศ. 2521 เมื่อจีนพยายามไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ไม่บรรลุการประนีประนอมที่ยอมรับได้ จนถึงปลาย พ.ศ. 2521 ผู้นำเวียดนามตัดสินใจรุกเข้าไปในกัมพูชาเพื่อล้มล้างรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยที่มีเขมรแดงบงการอยู่ โดยมองว่าเขมรแดงนิยมจีนและเป็นปรปักษ์ต่อเวียดนามเกินไป วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ทหารเวียดนาม 150,000 นายรุกรานกัมพูชาประชาธิปไตยและชนะกองทัพปฏิวัติกัมพูชาได้ในเวลาเพียงสองสัปดาห์ วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2522 ได้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาที่นิยมเวียดนามในกรุงพนมเปญ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยึดครองของเวียดนามนานสิบปี ระหว่างช่วงนั้น กัมพูชาประชาธิปไตยของเขมรแดงยังได้รับการรับรองโดยสหประชาชาติเป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมของกัมพูชา เพราะกลุ่มต่อต้านติดอาวุธหลายกลุ่มมีการจัดตั้งขึ้นเพื่อสู้รบกับการยึดครองของเวียดนาม หลังฉาก นายกรัฐมนตรีฮุน เซนแห่งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาได้พยายามเจรจากับ รัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยเพื่อเริ่มการเจรจาสันติภาพ ภายใต้แรงกดดันทางการทูตและเศรษฐกิจอย่างหนักจากประชาคมนานาชาติ รัฐบาลเวียดนามจึงเริ่มนำการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจและต่างประเทศหลายอย่างมาใช้ ซึ่งนำไปสู่การถอนตัวออกจากกัมพูชาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2532
ในการประชุมจาการ์ตาอย่างไม่เป็นทางการครั้งที่สามใน พ.ศ. 2533 ภายใต้แผนสันติภาพกัมพูชาซึ่งออสเตรเลียเป็นผู้สนับสนุน ผู้แทนจากรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตยและสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาตกลงจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้น เรียกว่า สภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชา บทบาทของสภาแห่งชาติสูงสุด คือ เป็นตัวแทนอธิปไตยของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ ขณะที่องค์กรบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชาได้รับมอบหมายให้ดูแลนโยบายภายในประเทศของกัมพูชาจนกระทั่งรัฐบาลกัมพูชาได้รับเลือกตั้งผ่านกระบวนการอันเป็นประชาธิปไตยอย่างสันติ เส้นทางสู่สันติภาพของกัมพูชานั้นพิสูจน์แล้วว่ายากยิ่ง เพราะผู้นำเขมรแดงตัดสินใจไม่เข้าร่วมการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป แต่หันไปเลือกขัดขวางกระบวนการเลือกตั้งโดยโจมตีทางทหารต่อเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติและสังหารผู้อพยพเชื้อชาติเวียดนาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2536 ขบวนการฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ของเจ้าสีหนุชนะพรรคประชาชนกัมพูชา หรืออดีตพรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชา ในการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป อย่างไรก็ดี ผู้นำพรรคประชาชนกัมพูชาปฏิเสธยอมรับความพ่ายแพ้และพวกเขาประกาศให้จังหวัดทางตะวันออกของกัมพูชา ที่ซึ่งเป็นฐานเสียงส่วนใหญ่ของพรรค แยกตัวออกจากกัมพูชา เพื่อหลีกเลี่ยงผลเช่นนั้น เจ้านโรดม สีหนุ ผู้นำพรรคฟุนซินเปคตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคประชาชนกัมพูชา ไม่นานจากนั้น ได้มีการฟื้นฟูราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเขมรแดงถูกประกาศว่าเป็นกลุ่มนอกกฎหมายโดยรัฐบาลกัมพูชาที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่นี้
ภูมิหลัง[แก้]
ประวัติศาสตร์กัมพูชา-เวียดนาม[แก้]
เวียดนามเข้ามามีอิทธิพลในกัมพูชาหลังยุคพระนครตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 อิทธิพลทั้งโดยตรงและโดยอ้อมได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถครอบงำกัมพูชาได้ในพุทธศตวรรษที่ 24 ใน พ.ศ. 2356 นักองจัน กษัตริย์กัมพูชาได้หันไปขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม ทำให้ตลอดรัชกาลของพระองค์กัมพูชาอยู่ภายใต้การอารักขาของเวียดนาม ใน พ.ศ. 2377 หลังจากนักองจันสิ้นพระชนม์ เวียดนามได้เข้ามาปกครองกัมพูชา ในฐานะจังหวัดหนึ่งของเวียดนาม และได้พยายามทำลายวัฒนธรรมเขมร อิทธิพลของเวียดนามยังคงอยู่ในช่วงที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และกัมพูชาต้องเสียดินแดนที่ปัจจุบันนี้คือไซ่ง่อน ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและเมืองไตนิญให้แก่เวียดนาม เขมรแดงเมื่อครองอำนาจได้ต่อต้านเวียดนามและพยายามที่จะฟื้นฟูประเทศไปสู่สมัยก่อนที่เวียดนามจะเข้ามามีอิทธิพล
การขึ้นมามีอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์[แก้]
ขบวนการนิยมคอมมิวนิสต์ในเวียดนามและกัมพูชาเริมขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม เริ่มต้นด้วยการต่อต้านฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในอินโดจีน ใน พ.ศ. 2484 โฮจิมินห์ได้ก่อตั้งเวียดมิญเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดมิญได้สู้รบกับฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง เพื่อเรียกร้องเอกราช ในระหว่างนี้ เวียดมิญได้ใช้แผ่นดินกัมพูชาในการขนส่งอาวุธและความช่วยเหลือต่าง ๆ ในสงครามเวียดนาม กัมพูชายังเป็นทางผ่านสำคัญในการโจมตีเวียดนามใต้ ใน พ.ศ. 2494 เวียดนามได้สนับสนุนให้จัดตั้งพรรคค��มมิวนิสต์ในกัมพูชา เพื่อร่วมมือกับกลุ่มชาตินิยมคือเขมรอิสระในการเรียกร้องเอกราช หลังการลงนามในสนธิสัญญาเจนีวา เมื่อ พ.ศ. 2497 ทำให้การปกครองของฝรั่งเศสสิ้นสุดลง กลุ่มเวียดมิญในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชากลับไปเวียดนามเหนือ ทำให้กลุ่มปัญญาชนปารีสที่นิยมคอมมิวนิสต์เข้ามามีอิทธิพลในพรรค ได้แก่ พล พต, เอียง ซารี และเขียว สัมพัน กลุ่มนี้มีแนวคิดนิยมลัทธิเหมา และเป็นหัวหน้าของกลุ่มที่ต่อมาเรียกว่าเขมรแดง
กัมพูชาประชาธิปไตยและเขมรแดง[แก้]
เมื่อเขมรแดงได้ครองอำนาจและสถาปนากัมพูชาประชาธิปไตย และใช้คำว่าอังการ์หรือองค์กรเป็นคำแทนกลุ่มของตน จนถึง พ.ศ. 2520 เขียว สัมพันมีฐานะเป็นประมุขรัฐแต่ผู้มีอำนาจจริง ๆ คือ พล พต และเอียง ซารี เป้าหมายของเขมรแดงคือต้องการล้มล้างระบอบศักดินาออกไปจากกัมพูชา และสร้างสังคมอุดมคติสำหรับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งทำให้เกิดการสังหารหมู่ตามมา
ในระหว่างสงครามกลางเมืองกัมพูชา พ.ศ. 2513 – 2518 เขมรแดงได้รับความช่วยเหลือทั้งจากจีนและเวียดนามเหนือ แต่หลังจากสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเขมรแดงเลวร้ายลง การปะทะกันครั้งแรกสุด เกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2517 หลังจากที่พลพตสถาปนาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับจีน[21]
การปะทะกันทางทหาร[แก้]
การสู้รบและมิตรภาพ พ.ศ. 2518 – 2519[แก้]
การสิ้นสุดของความขัดแย้งในอินโดจีนเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเวียดนามและกัมพูชาเกือบจะทันที หลังจากที่ทั้งเวียดนามเหนือและเขมรแดงชนะในการสู้รบ ผู้นำของกัมพูชาประชาธิปไตยมองเวียดนามเหนืออย่างไม่ไว้วางใจ เพราะเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมีความคิดที่จะจัดตั้งสมาพันธรัฐอินโดจีน โดยมีเวียดนามเป็นผู้นำ[22] ดังนั้น รัฐบาลกัมพูชาจึงตัดสินใจให้เคลื่อนย้ายทหารเวียดนามเหนือทั้งหมดออกนอกประเทศ หลังจากที่พวกเขายึดพนมเปญได้ใน พ.ศ. 2518 การปะทะกันของทั้งสองประเทศเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 โดยเขมรแดงโจมตีเกาะฟู้โกว๊ก ซึ่งอ้างว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา
ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 เขมรแดงเข้าโจมตีเกาะโถเจิว และฆ่าชาวเวียดนามไป 500 คน ทหารเวียดนามได้เข้าโจมตีทหารกัมพูชาที่เกาะทั้งสองแห่ง และเข้ายึดครองเกาะปูลูไวของกัมพูชาไว้ด้วย[22] ต่อมา ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2518 พล พตได้ไปเยือนฮานอยและมีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างกัน และในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2518 เวียดนามได้คืนเกาะไวให้กัมพูชา
หลังจากเหตุการณ์นี้ ทั้งสองประเทศพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2519 เวียดนามแสดงความยินดีกับเขียว สัมพัน พล พตและนวน เจีย ในการขึ้นมาเป็นผู้นำกัมพูชาประชาธิปไตย และเวียดนามยังได้เตือนกัมพูชาเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดของสหรัฐที่เสียมราฐเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2519 กัมพูชาได้ส่งสารแสดงความยินดีกับรัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลแห่งเวียดนามใต้ หลังการโค่นล้มระบอบที่สนับสนุนโดยสหรัฐ
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2519 เมื่อมีการตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม หลังการรวมประเทศ วิทยุพนมเปญได้ประกาศถึงความเป็นมิตรระหว่างสองประเทศ[23] แตในเดือนเดียวกันนั้น ก็เริ่มเกิดความตึงเครียดระหว่างกัน ในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นวันแรกที่มีการคมนาคมทางอากาศเชื่อมต่อกันระหว่าง ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี และพนมเปญ ในเดือนธันวาคม เขมรแดงได้แสดงความยินดีในการประชุมสมัชชาครั้งที่ 4 ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
พ.ศ. 2520 เริ่มต้นสงคราม[แก้]
จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2519 เขมรแดงและเวียดนามพยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เวียดนามถือว่าตนเป็นผู้นำโลกคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะได้ให้ความช่วยเหลือเขมรแดงเช่นเดียวกับขบวนการปะเทดลาวในการต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามเหนือกับเขมรแดงไม่ราบรื่นตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ที่ม���การปะทะระหว่างฝ่ายเดียวกันเอง อิทธิพลของเวียดนามในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาลดลง เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง กลุ่มที่นิยมเวียดนามในพรรคถูกขับออกจากพรรค
เมื่อพล พตและเอียง ซารีขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝั่ม วัน ด่ง และเลขาธิการทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์คือเล สวน ได้ประณามทั้งพล พตและเอียง ซารีว่าเป็นคนเลว เพราะนิยมความคิดแบบจีน ในการประชุมที่สถานทูตสหภาพโซเวียตเมื่อ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2519 รัฐบาลที่พนมเปญมีความหวาดระแวงเวียดนามที่พยายามเข้ามาแทรกแซงพรรคคอมมิวนิสต์ในกัมพูชาและลาวโดยใช้สมาชิกที่ผ่านการอบรมจากเวียดนาม ทำให้เขมรแดงพยายามขับกลุ่มที่ผ่านการอบรมจากเวียดนามเหนือออกจากพรรค
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 2ปีที่ไซ่ง่อนแตก เขมรแดงได้โจมตีจังหวัดอานซางและเมืองเจิวด๊ก ฆ่าชาวเวียดนามไปราวร้อยคน ในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2520 กองทัพประชาชนเวียดนามได้ส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ยึดครองและเรียกร้องให้มีการเจรจาในระดับสูง ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2520 เขมรแดงได้ประกาศให้เวียดนามถอนตัวออกจากพื้นที่พิพาทและกำหนดเขตปลอดทหารขึ้นมา[24]
ทั้งสองฝ่ายต่างปฏิเสธข้อเสนอซึ่งกันและกัน กองทัพปฏิวัติกัมพูชาได้ส่งทหารข้ามพรมแดนไปโจมตีชาวเวียดนามอีกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2520 และได้ทำลายหมู่บ้านไป 6 หมู่ในในจังหวัดด่งท้าป และได้รุกเข้าไปในจังหวัดเต็ยนิญ 10 กิโลเมตร และฆ่าชาวเวียดนามไปกว่าพันคน ทำให้ฝ่ายเวียดนามส่งทหารกว่า 60,000 คนเข้าโจมตีกัมพูชา และได้ข้ามพรมแดนเช้าไปในกัมพูชาเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2520 และเรียกร้องให้เขมรแดงออกมาเจรจา ในการรบภาคสนาม เวียดนามเป็นฝ่ายชนะอย่างรวดเร็ว สามารถบุกเข้ามาในจังหวัดสวายเรียงได้ ต่อมาในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2520 เขียว สัมพันออกมาประกาศขอให้ถอนทหารออกไป ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2521 เวียดนามตัดสินใจถอนทหารออกไป ���ดยมีการประหารนักโทษจำนวนมาก และมีผู้อพยพออกไปเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือฮุน เซน[25]
การเตรียมการเพื่อการเปลี่ยนแปลงระบบ พ.ศ. 2521[แก้]
รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยถือว่าการที่เวียดนามยอมถอนทหารถือเป็นชัยชนะ จึงยังไม่หยุดการต่อต้านเวียดนาม ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2521 กองทัพกัมพูชาพยายามรุกรานเวียดนามที่ห่าเตียน ในที่สุด ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2521 เวียดนามจึงเริ่มระดมพลชาวกัมพูชาเพื่อโค่นล้มระบอบเขมรแดงในช่วง 9 มกราคม - 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 ฝั่ม วัน ด่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเวียดนามได้เดินทางไปเยือนปักกิ่งบ่อยครั้ง เพื่อเจรจาถึงปัญหารัฐบาลกัมพูชา ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2521 จีนพยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา ในพื้นที่ภาคตะวันออกของกัมพูชา เกิดการต่อต้านรัฐบาลมาก พล พตได้แก้ปัญหาโดยการนำทหารจากทางตะวันตกเฉียงใต้เข้าไปยังภาคตะวันออกเพื่อกำจัดทรราชย์ที่ซ่อนเร้น โส พิม ผู้นำฝ่ายต่อต้านฆ่าตัวตาย ส่วนเฮง สัมรินหนีไปเวียดนาม ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2521 กัมพูชาได้เรียกร้องให้เวียดนามเจรจาโดยยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาแต่เวียดนามปฏิเสธ ทหารกัมพูชาได้รุกข้ามเส้นเขตแดนเข้าไปยังเวียดนาม 2 กิโลเมตร ฆ่าชาวเวียดนามไปมากกว่า 3,000 คน ในหมู่บ้านบาจุ๊ก จังหวัดอานซาง
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2521 กองทัพอากาศเวียดนาม เริ่มเข้ามาทิ้งระเบิดในกัมพูชาตามแนวชายแดน ผู้นำฝ่ายต่อต้านในภาคตะวันออกหนีไปเวียดนามและได้จัดตั้งกองทัพปลดปล่อยโดยมีเวียดนามสนับสนุน พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมองว่าจีนเป็นมหาอำนาจที่จะเข้ามาแทนที่สหรัฐและเขมรแดงเป็นตัวแทนของจีน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงออกไป ในช่วงครึ่งปีหลังของ พ.ศ. 2521 สื่อเวียดนามเริ่มนำเสนอภาพที่โหดร้ายของระบอบพล พตส่งกองทัพฝ่ายต่อต้านแทรกซึมเข้าไปในกัมพูชา และขอแรงสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2521 วิทยุเวียดนามเริ่มออกประกาศชักชวนให้ฝ่ายต่อต้านลุกฮือต่อต้านเขมรแดง
จุดเปลี่ยนที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างจีน-เวียดนามและสหภาพโซเวียต-เวียดนามคือการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างเวียดนามกับสหภาพโซเวียตเมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 จากนั้นได้มีการเตรียมการเพื่อรุกรานกัมพูชา โดยมีนายพลเล ดึ๊ก อัญเป็นผู้บังคับบัญชา ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2521 จีนได้กล่าวเตือนเว��ยดนามว่าความอดทนของจีนมีจำกัด กองทัพของเขมรแดงได้รับการสนับสนุนจากจีน โดยจีนเริ่มสนับสนุนเขมรแดงมากขึ้นเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและกัมพูชาเลวร้ายลงใน พ.ศ. 2521
ต่อมาเวียดนามได้ประกาศจัดตั้งแนวร่วมประชาชาติกู้ชาติกัมพูชาในพื้นที่ปลดปล่อยของกัมพูชา รัฐบาลฮานอยได้กล่าวว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการคอมมิวนิสต์ของกัมพูชาที่เป็นอิสระ เฮง สัมรินที่เคยเป็นทหารเขมรแดงมาก่อนเป็นประธาน ก่อนหน้านี้ แนวร่วมนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อรัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลแห่งกัมพูชาที่ประกอบไปด้วยทหารกัมพูชาประมาณ 300 คน กลยุทธนี้คล้ายคลึงกับการบุกครองเชโกสโลวาเกียของฝ่ายกติกาสัญญาวอร์ซอเมื่อ พ.ศ. 2511[26]
การรุกรานกัมพูชา[แก้]
ในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 เวียดนามได้เริ่มรุกรานกัมพูชาโดยข้ามเส้นเขตแดนเข้าไปโจมตีกัมพูชา แม้ว่ากัมพูชาจะได้รับความช่วยเหลือจากจีนก็สู้เวียดนามไม่ได้ ในท้ายที่สุด วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เวียดนามได้รุกรานเข้าสู่กัมพูชาเต็มรูปแบบโดยใช้ทหาร 150,000 คนและใช้กองทัพอากาศสนับสนุน กองทัพปฏิวัติกัมพูชาสามารถต้านทานกองทัพเวียดนามได้เพียงสองสัปดาห์ ก็พ่ายแพ้ กองทัพฝ่ายเขมรแดงถอยทัพไปทางตะวันตกของกัมพูชา ในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522 กองทัพเวียดนามเข้าสู่พนมเปญได้ พร้อมกับสมาชิกแนวร่วมประชาชาติฯ และได้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาโดยเฮง สัมรินเป็นประมุขรัฐ และแปน โสวัณเป็นเลขาธิการทั่วไปของพรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชา[27]
กองทัพเขมรแดงได้ถอยทัพไปยังชายแดนประเทศไทย และได้รับอย่างอบอุ่นจากรัฐบาลไทย สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาพยายามที่จะฟื้นฟูประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเนื่องจากถูกทำลายในสมัยเขมรแดง คนที่มีการศึกษาถูกสังหารในสมัยเขมรแดง บางส่วนต้องอพยพไปนอกประเทศ การพัฒนาประเทศมีอุปสรรคเนื่องจากมีกลุ่มต่อต้านเวียดนามที่ต่อต้านรัฐบาล ทางภาคตะวันตกของกัมพูชา
การตอบสนองของประชาคมนานาชาติ[แก้]
หลังจากพนมเปญแตกเนื่องจากกองทัพเวียดนามเข้าโจมตีในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 ตัวแทนของกัมพูชาประชาธิปไตยได้เรียกร้องให้มีการประชุมฉุกเฉินของสภาความมั่นคงแห่งประชาชาติ พระนโรดม สีหนุได้เป็นตัวแทนของระบบนี้ แม้ว่าสหภาพโซเวียดและเชโกสโลวาเกียจะปฏิเสธแต่สหประชาชาติก็รับคำร้อง อย่างไรก็ตาม พระนโรดม สีหนุได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับหัวข้อทางด้านสิทธิมนุษยชนของเขมรแดง โดยพระองค์กล่าวหาว่าเวียดนามทำลายอธิปไตยของกัมพูชา พระองค์ต้องการให้สมาชิกสหประชาชาติทั้งหมดงดให้ความช่วยเหลือแก่เวียดนาม และไม่ยอมรับระบบการปกครองที่สถาปนาโดยเวียดนาม ประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกถาวรของสภาความมั่นคง 7 ประเทศ ได้เสนอให้มีการสงบศึก และให้ถอนกองกำลังต่างชาติออกจากกัมพูชาซึ่งได้รับการรับรองโดยจีน ฝรั่งเศส นอร์เวย์ โปรตุเกส สหรัฐและสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม แผนการนี้ไม่ได้รับการรับรองโดยสหภาพโซเวียตและเชโกสโลวาเกีย ซึ่งถือว่าเวียดนามไม่ได้รุกรานกัมพูชา แต่เป็นความต้องการที่จะหยุดยั้งระบอบของพล พตที่บ่อนทำลายความมั่นคงของอินโดจีน[28]
ระหว่าง 16–19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 เวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาได้จัดให้มีการประชุมเพื่อลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างกัน[29] มาตรา 2 ของสนธิสัญญาได้ระบุว่าความปลอดภัยของเวียดนามและกัมพูชาได้เกี่ยวข้องกันและจะต้องป้องกันซึ่งกันและกัน ทำให้การคงอยู่ของทหารเวียดนามในกัมพูชาเป็นเรื่องถูกกฎหมาย หลังจากนั้น สหภาพโซเวียต ประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกและอินเดียได้ประกาศรับรองสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา โดยสหภาพโซเวียตชื่นชมกับการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา และประณามเขมรแดงว่าเป็นทรราชย์ที่มีจีนสนับสนุน
ในการประชุมทั่วไปของสหประชาชาติครั้งที่ 34 ตัวแทนของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาและกัมพูชาประชาธิปไตยต่างอ้างว่าเป็นตัวแทนของประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาได้รับการรับรองจากสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติแต่สหประชาชาติยอมรับกัมพูชาประชาธิปไตย แม้จะมีปัญหาเรื่องการนองเลือด ในที่สุดตัวแทนของกัมพูชาประชาธิปไตยได้รับการยอมรับในการประชุมทั่วไปโดยจีนให้การสนับสนุนอย่างมาก ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2523 มี 29 ประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ในขณะที่อีกเกือบ 80 ประเทศยังคงยอมรับกัมพูชาประชาธิปไตย ในเวลาเดียวกัน มหาอำนาจตะวันตกและกลุ่มอาเซียนได้ประณามการใช้กำลังทหารโค่นล้มเขมรแดงของเวียดนาม
ประเทศไทยที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดของกัมพูชา และระแวงการรุกรานของเวียดนามได้เรียกร้องให้เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์สนับสนุนท่าทีของไทย อาเซียนมองว่าการรุกรานกัมพูชาของเวียดนามเป็นการยึดครองที่สหภาพโซเวียตสนับสนุน จีนมีความเห็นในทำนองนี้เช่นกัน สหรัฐซึ่งไม่เคยรับรองรัฐบาลของเขมรแดงได้สนับสนุนสมาชิกภาพของกัมพูชาประชาธิปไตยในสหประชาชาติ และเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องที่ให้ถอนทหารเวียดนามออกจากกัมพูชา
จีนรุกรานเวียดนาม[แก้]
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 จีนได้ต่อต้านการรุกรานกัมพูชาของเวียดนามโดยการโจมตีตามแนวชายแดนจีน-เวียดนาม จีนสามารถยึดครองเกาบังได้วันที่ 2 มีนาคม และลาวเซินในวันที่ 4 มีนาคม และมุ่งหน้าไปยังฮานอย แต่การส่งกำลังบำรุงไม่ดีพอ ในอีกไม่กี่วันต่อมา จีนสามารถบุกลึกเข้าไปได้อีกในเวียดนาม แต่เนื่องจากจีนได้รับความเสียหาย ทหารจีนเสียชีวิตมากกว่าทหารเวียดนาม ทำให้จีนต้องยุติการสู้รบ
การต่อต้านระบบใหม่ภายในประเทศ[แก้]
เมื่อระบบของเขมรแดงถูกกำจัดออกไปจากประเทศในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาซึ่งได้ประกาศใช้ใน พ.ศ. 2524 รัฐธรรมนูญกำหนดว่ากัมพูชาเป็นประเทศเอกราช มีสันติภาพ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน มีเวียดนามเป็นที่ปรึกษาในการบริหาร ใน พ.ศ. 2529 มีที่ปรึกษาชาวเวียดนามสำหรับคณะรัฐมนตรีทุกคนในรัฐบาล คาดว่ามีการต่อต้านและเกิดการฆาตกรรมประชาชนทั้งโดยทหารของเวียดนามและทหารของฝ่ายรัฐบาลราวแสนคน กลยุทธของรัฐบาลในการต่อต้านเขมรแดงคือพยายามเข้าครอบครองพื้นที่ที่เป็นแหล่งเสบียงของเขมรแดง แหล่งของอาหารจากต่างชาติจะถูกส่งมาทางกำปงโสม ซึ่งมักจะถูกยึดไปใช้ในกองทหารเวียดนาม และฝ่ายเวียดนามยังใช้อาวุธเคมีที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
เขมรแดงได้เรียกร้องให้ชาวกัมพูชารวมตัวกันเป็นเอกภาพ และต่อสู้กับชาวเวียดนามแต่ประสบการณ์ที่เลวร้ายในสมัยกัมพูชาประชาธิปไตยทำให้ชาวกัมพูชาบางส่วนต่อต้านทั้งเวียดนามและเขมรแดง ทำให้มีขบวนการที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์สององค์กรปรากฏขึ้น กลุ่มแรกเป็นฝ่ายขวา นิยมตะวันตกนำโดยซอน ซานเรียกว่าแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร ซึ่งได้ควบคุมค่ายผู้อพยพหลายค่ายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา คาดว่าแนวร่วมนี้มีทหารราว 12,000 - 15,000 คน แต่ประมาณ 1 ใน 3 สูญเสียไปในการสู้รบกับเวียดนามช่วง พ.ศ. 2527 – 2528
กลุ่มที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์อีกกลุ่มหนึ่งคือฟุนซินเปก องค์กรนี้เกิดขึ้นเมื่อพระนโรดม สีหนุแยกตัวออกจากเขมรแดง โดยพระนโรดม สีหนุเรียกร้องให้สหปรชาชาติถอนการรับรองเขมรแดงเพราะปัญหาอาชญากรรม และไม่ยอมรับตัวแทนของเขมรแดงหรือสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาเป็นตัวแทนกัมพูชาในสหประชาชาติ ในช่วงแรกของการยึดครองเวียดนาม กองกำลังต่อต้านในกัมพูชาแต่ละกลุ่มมีการติดต่อกนอย่างจำกัด เพราะความแตกต่างของแต่ละกลุ่ม แม้ว่าเขมรแดงจะได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากกว่า แต่ก็ถูกกดดันในสังคมระดับนานาชาติมากขึ้นใน พ.ศ. 2523 ต่อมาจึงมีแนวคิดในการรวมฝ่ายต่อต้านทั้งหมดเข้าด้วยกันในต้นปี พ.ศ. 2524 พระนโรดม สีหนุและซอน ซานเริ่มพูดคุยกับเขียว สัมพันเพื่อสร้างความร่วมมือ
ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2524 องค์ฝ่ายต่อต้านทั้งสามได้รวมกันเป็นเอกภาพ แต่ก็ยังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการเป็นองค์กรนำ ในที่สุดได้จัดตั้งเป็นรัฐบาลผสมโดยแต่ละองค์กรมีอำนาจเสมอกัน โดยจัดตั้งแนวร่วมเขมรสามฝ่ายเมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2525 โดยใน พ.ศ. 2530 กัมพูชาประชาธิปไตยยังคงเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
การปฏิรูปของเวียดนามและการถอนตัว[แก้]
ใน พ.ศ. 2521 เมื่อเวียดนามตัดสินใจรุกรานกัมพูชา พวกเขาไม่ได้คาดว่าจะถูกต่อต้านในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม เวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชามีบทบาทในการฟื้นฟูประเทศ นโยบายของนานาชาติเกี่ยวกับกัมพูชาส่งผลต่อเศรษฐกิจของเวียดนาม สหรัฐประกาศคว่ำบาตรเวียดนาม และมีหลายประเทศในสหประชาชาติไม่รับรองเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา และปฏิเสธสมาชิกภาพขององค์กรระดับนานาชาติ เช่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ใน พ.ศ. 2522 ญี่ปุ่นได้กดดันโดยลดความช่วยเหลือต่อเวียดนามความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และปัญหามนุษย์เรือ ทำให้สวีเดนที่เคยสนับสนุนเวียดนามถอนการรับรอง
นอกจากนั้นยังเกิดการกดดันภายในประเทศเวียดนามเพราะไม่สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ การใช้ระบบการวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลางตามอย่างสหภาพโซเวียต เวียดนามพยายามเน้นอุตสาหกรรมหนัก และไม่สามารถพัฒนาเวียดนามใต้หลังรวมประเทศได้ รัฐบาลเวียดนามใช้งบประมาณส่วนใหญ่ในทางการทหาร รวมทั้งใช้ในการปฏิวัติกัมพูชา เวียดนามเริ่มถอนทหารออกจากกัมพูชาตั้งแต่ พ.ศ. 2525 แต่กระบวนการถอนทหารของเวียดนามไม่มีการรับรองจากนานาชาติ ผู้สังเกตการณ์ต่างชาติมองว่าเป็นเพียงการหมุนเวียนทหาร ใน พ.ศ. 2527 เวียดนามใช้แผน K5 ในการโจมตีกัมพูชาตะวันตกจนถึงชายแดนไทย ทหารเวียดนามยังคงอยู่ตามจังหวัดใหญ่ ๆ เพื่อฝึกฝนทหารกัมพูชา
ใน พ.ศ. 2528 การโดดเดี่ยวในระดับนานาชาติและปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้เวียดนามต้องพึ่งสหภาพโซเวียตมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ทำสงครามกับจีนใน พ.ศ. 2522 สหภาพโซเวียตให้ความช่วยเหลือเวียดนาม 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสูงที่สุดใน พ.ศ. 2524 – 2528 ใน พ.ศ. 2529 สหภาพโซเวียตประกาศลดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจต่อเวียดนามลง 20% และลดความช่วยเหลือทางทหารลง 1 ใน 3 เพื่อที่จะกลับเข้าร่วมในประชาคมระดับนานาชาติอีกครั้งและเพื่อเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจดังที่สหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออกต้องเผชิญ ผู้นำเวียดนามตัดสินใจปฏิรูป ในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 6 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2529 เลขาธิการทั่วไปของพรรคคือเหงียน วัน ลิญ ได้นำเสนอการปฏิรูปที่สำคัญคือ นโยบายโด่ยเม้ย ซึ่งในภาษาเวียดนามหมายถึงการปรับใหม่ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเวียดนาม ผู้นำเวียดนามเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจของเวียดนามเกิดจากการถูกโดดเดี่ยวในระดับนานาชาติหลังการรุกรานกัมพูชาใน พ.ศ. 2521 และนโยบายนี้จะประสบความสำเร็จได้เมื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการทหารและต่างประเทศ ต่อมา ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2530 คณะกรรมการโปลิตบูโรของเวียดนามได้ปรับนโยบายทางการทหารและให้มีการถอนทหารออกจากกัมพูชาโดยสมบูรณ์และลดจำนวนทหารลง
ต่อมา ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 คณะกรรมการโปลิตบูโรได้ปรับนโยบายการต่างประเทศโดยจะเปิดประเทศรับการลงทุนและความช่วยเหลือจากต่างชาติ เวียดนามยุติการประณามสหรัฐอเมิกา จีน อาเซียนและเริ่มมีการถอนทหารออกจากกัมพูชาโดยลำดับ แต่ก็มีกลุ่มต่อต้านเวียดนามออกมากล่าวว่ายังมีทหารเวียดนามอยู่ในกัมพูชาหลังเดือนกันยายน พ.ศ. 2532 โดยกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์รายงานว่าได้ปะทะกับกองกำลังพิเศษของเวียดนามที่ตมาร์ปวกใกล้ช่อง 69 หลังการประกาศถอนทหารในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2534 มีรายงานว่าทหารเวียดนามกลับเข้าไปในจังหวัดกำปอตเพื่อต่อต้านการรุกรานของเขมรแดง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เพื่อฟื้นฟูสันติภาพในกัมพูชา
หลังจากนั้น[แก้]
ข้อตกลงสันติภาพปารีส[แก้]
เมื่อ 14 มกราคม พ.ศ. 2528 ฮุนเซนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาและเริ่มเจรจาสันติภาพกับแนวร่วมเขมรสามฝ่าย ระหว่าง 2-4 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ฮุนเซนได้พบปะกับสีหนุในฝรั่งเศสเพื่อเจรจาเกี่ยวกับอนาคตของกัมพูชา การเจรจาเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่าง 20 – 21 มกราคม พ.ศ. 2531 แต่การเจรจาล้มเหลว ก้าวต่อไปของการฟื้นฟูสันติภาพกัมพูชา ฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนและแนวร่วมเขมรสามฝ่ายได้พบปะกันเป็นครั้งแรกในการประชุมจาการ์ตาอย่างไม่เป็นทางการเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ซึ่งพระนโรดม สีหนุเสนอให้มีการสงบศึก ให้สหประชาชาติเข้ามาดูแลสันติภาพ ถอนทหารเวียดนามออกไป และรวมกองกำลังทุกฝ่ายเข้าเป็นกองทัพเดียวกัน เวียดนามได้เสนอให้มีการตกลงเป็นการภายในระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ของกัมพูชา แล้วจึงไปตกลงกับประเทศและองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้
ในการประชุมจาการ์ตาครั้งที่ 2 รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลียได้เสนอแผนสันติภาพกัมพูชา โดยให้มีการสงบศึก การเจรจาสันติภาพและการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อรักษาอธิปไตยของหัมพูชา จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง ต่อมา ระหว่าง 29 – 30 เมษายน พ.ศ. 2532 ฮุน เซนได้จัดตั้งให้มีการประชุมสมัชชาแห่งชาติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นรัฐกัมพูชา เพื่อสะท้อนถึงอธิปไตยของประเทศ กำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ และรับรองสิทธิส่วนบุคคลของประชากร
การเจรจาสันติภาพยังคงดำเนินต่อไป โดยการประชุมสันติภาพปารีสเกี่ยวกับกัมพูชาครั้งแรกจัดขึ้นใน พ.ศ. 2532 หลังจากการถอนทหารเวียดนาม ต่อมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ได้จัดการประชุมจาการ์ตาครั้งที่สามและจัดตั้งสภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชา เพื่อรับรองอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ในระยะแรกสมาชิกสภาสูงสุดมี 12 คน สภานี้เป็นตัวแทนกัมพูชาในสหประชาชาติตั้งแต่ พ.ศ. 2534 ในเวลาเดียวกัน ฮุน เซนได้เปลี่ยนชื่อพรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชามาเป็นพรรคประชาชนกัมพูชา
ในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 สภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชา เวียดนามและอีก 15 ประเทศ ที่เข้าร่วมในการประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่องกัมพูชา ได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพกัมพูชา ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามกลางเมืองที่ยาวนาน หลังจากนั้น ได้ตั้งอันแทคซึ่งจะเป็นที่ปรึกษาชองรัฐบาลกัมพูชาในการจัดการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย ในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 พระนโรดม สีหนุได้เสด็จกลับกัมพูชาเพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้ง และซอน เซน ตัวแทนเขมรแดงได้มาถึงในอีกไม่กี่วันต่อมา ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 เขียว สัมพัน เดินทางมาถึงพนมเปญเช่นกัน แต่ในวันที่เขียว สัมพันมาถึง ได้มีผู้ที่โกรธแค้นมาประท้วงและขว้างปาสิ่งของใส่ และเขียว สัมพันได้ขอความคุ้มครองจากสถานทูตจีนและได้เดินทางออกจากกัมพูชาไป
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 อันแทคได้เดินทางมาถึงกัมพูชาและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2535 เขมรแดงได้ประกาศจัดตั้งพรรคสามัคคีแห่งชาติกัมพูชา และไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง ปฏิเสธการปลดอาวุธตามข้อตกลงปารีส และเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวเวียดนามเข้าร่วมการเลือกตั้ง เขมรแดงได้เริ่มการสังหารหมู่ชาวเวียดนามปลายปี พ.ศ. 2535 กองทัพเขมรแดงได้บุกเข้าจังหวัดกำปงธมแต่ก็ถูกกองกำลังรักษาสันติภาพผลักดันออกไป
การเลือกตั้งในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 พรรคฟุนซินเปกชน��การเลือกตั้ง พรรคประชาชนกัมพูชาได้อันดับสอง ฮุน เซนประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง สิน สองประกาศแยกจังหวัดทางตะวันออกของกัมพูชาซึ่งสนับสนุนพรรคประชาชนกัมพูชาออกไป ในที่สุด พระนโรดม รณฤทธิ์ได้ตกลงที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคประชาชนกัมพูชา ในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2536 สภาร่างรัฐธรรมนูญได้รับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พระนโรดม รณฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และฮุน เซนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2536 ได้ฟื้นฟูราชวงศ์ในกัมพูชา โดยพระนโรดม สีหนุขึ้นครองราชย์ในฐานะประมุขรัฐ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2537 รัฐบาลกัมพูชาประกาศให้เขมรแดงเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย และประกาศให้การสังหารหมู่ในสมัยกัมพูชาประชาธิปไตยเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เขมรแดงได้สลายตัวไปโดยสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2541
เวียดนามกลับสู่สังคมโลก[แก้]
เวียดนามและจีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเวียดนาม หวอ วัน เกียตได้เดินทางไปยังปักกิ่งเพื่อเข้าพบนายหลี่ เผิง เพื่อเจรจาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เป็นทางการระหว่างกัน การสิ้นสุดความขัดแย้งในกัมพูชา ทำให้ประเทศในอินโดจีนเข้าร่วมกับอาเซียน ในช่วง พ.ศ. 2534 – 2535 เวียดนามได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสมาชิกอาเซียน และการลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวียดนามระหว่าง พ.ศ. 2534 – 2537 คิดเป็น 15% ของการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม ต่อมา ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เวียดนามเข้าเป็นสมาชิกอันดับที่ 7 ของอาเซียนอย่างเป็นทางการ ต่อมา ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2538 เวียดนามได้ประกาศยกระดับจากตัวแทนจากเป็นสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาหลังจากที่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติต่อกันตั้งแต่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 รวมทั้งการเข้าร่วมองค์การการค้าโลก เมื่อปี 2550 และการเข้าร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 ทำให้การโดดเดี่ยวเวียดนามออกจากสังคมโลกสิ้นสุดลง
เชิงอรรถ[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "Opinion | Thailand Bears Guilt for Khmer Rouge". The New York Times. March 24, 1993.
- ↑ 2.0 2.1 Richardson, Michael. "Singaporean Tells of Khmer Rouge Aid". International Herald Tribune. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-12. สืบค้นเมื่อ 29 June 2018.
- ↑ "How Thatcher gave Pol Pot a hand". New Statesman. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-12. สืบค้นเมื่อ 29 June 2018.
- ↑ "Butcher of Cambodia set to expose Thatcher's role". The Guardian. 9 January 2000. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-12. สืบค้นเมื่อ 29 June 2018.
- ↑ Allegations of United States support for the Khmer Rouge
- ↑ "Reagan Vows to Support Sihanouk's Forces". The New York Times. 12 October 1988. สืบค้นเมื่อ 8 June 2020.
- ↑ Michael Shafir, Pinter, 1985, Romania: Politics, Economics and Society : Political Stagnation and Simulated Change, p. 187
- ↑ Desaix Anderson, Eastbridge, 2002, An American in Hanoi: America's Reconciliation with Vietnam, p. 104
- ↑ Gerald Frost, Praeger, 1991, Europe in Turmoil: The Struggle for Pluralism, p. 306
- ↑ "Diplomats Recall Cambodia After the Khmer Rouge". The Cambodia Daily. 5 April 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-29. สืบค้นเมื่อ 29 June 2018.
- ↑ Weiss, Thomas G.; Evans, Gareth J.; Hubert, Don; Sahnoun, Mohamed (2001). The Responsibility to Protect: Report of the International Commission on Intervention and State Sovereignty. International Development Research Centre (Canada). p. 58. ISBN 978-0-88936-963-4. สืบค้นเมื่อ 29 June 2018.
- ↑ "When Moscow helped topple the Khmer Rouge". www.rbth.com. March 19, 2016.
- ↑ Morris, p. 103.
- ↑ Thayer, p. 10.
- ↑ Vientiane accuses Thailand of trying to annex part of Laos (Archive), UPI, Jan 23, 1988. Accessed Nov 22, 2019.
- ↑ 16.0 16.1 Khoo, p. 127
- ↑ 17.0 17.1 Vietnamese sources generally offer contradictory figures, but Vietnamese General Tran Cong Man stated that at "least 15,000 soldiers died and another 30,000 were wounded in the ten-year long Cambodian campaign"—so the figures do not include the casualties from the period between 1975 and 1979. Thayer, 10
- ↑ SIPRI Yearbook: Stockholm International Peace Research Institute
- ↑ 19.0 19.1 Clodfelter, p. 627.
- ↑ Clodfelter, p. 627: 100,000 killed by Vietnamese and Khmer Rouge military operations in 1978–1979, and another 100,000 killed in the insurgency phase.
- ↑ Van der Kroef. : 29
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help);|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)CS1 maint: postscript (ลิงก์) - ↑ 22.0 22.1 Farrel, p. 195
- ↑ Morris, p. 95
- ↑ O'Dowd, p. 36
- ↑ Morris, p. 102
- ↑ IBP USA, p. 69
- ↑ Swann, p. 99
- ↑ Ted Galen Carpenter. "U.S. Aid to Anti-Communist Rebels: The "Reagan Doctrine" and Its Pitfalls". สืบค้นเมื่อ 14 November 2012.
- ↑ Swann, p. 97
ข้อมูล[แก้]
- "Annual Report 2012 Cambodia Programme". (2013). United Nations Development Programme.
- "Cambodia UN-REDD National Programme". (n.d.). United Nations Development Programme.
- Bannon, Ian; Collier, Paul (2003). Natural resources and violent conflict: Options and actions. World Bank Publications.
- Billon, Philippe Le (2002). "Logging in muddy waters: The politics of forest exploitation in Cambodia". Critical Asian Studies, 34(4), 563–586.
- Broyle, William (1996). Brothers in Arms: A Journey from War to Peace. Austin, TX: First University of Texas Press. ISBN 0-292-70849-1.
- Bultmann, Daniel (2015). Inside Cambodian Insurgency: A Sociological Perspective on Civil Wars and Conflict. Burlington, VT/Farnham, UK: Ashgate. ISBN 978-1-4724-4305-2.
- Chandler, David (2000). A History of Cambodia (3rd ed.). Boulder, CO: Westview Press. ISBN 0-8133-3511-6.
- Clodfelter, M. (2017). Warfare and Armed Conflicts: A Statistical Encyclopedia of Casualty and Other Figures, 1492–2015 (4th ed.). Jefferson, NC: McFarland & Company.
- Corbera, Esteve; Schroeder, Heike (2011). "Governing and implementing REDD+". Environmental science & policy, 14(2), 89-99.
- Corfield, Justin (1991). A History of the Cambodian Non-Communist Resistance, 1975–1983. Clayton, Vic.: Centre of Southeast Asian Studies, Monash University. ISBN 978-0-7326-0290-1.
- Corfield, Justin (2009). The History of Cambodia. Santa Barbara, CA: ABC-CLIO. ISBN 978-0-313-35722-0.
- Deng, Yong; Wang, Fei-Ling (1999). In the Eyes of the Dragon: China Views the World. Oxford: Rowman & Littlefield. ISBN 0-8476-9336-8.
- DeRouen, Karl; Heo, UK (2007). Civil Wars of the World: Major Conflicts since World War II. Westport, CT: ABC-CLIO. ISBN 978-1-85109-919-1.
- Dijkzeul, Dennis (1998). "The united nations development programme: The development of peace?". International Peacekeeping, 5(4), 92-119.
- Etcheson, Craig (2005). After the Killing Fields: Lessons from the Cambodian Genocide. Westport, CT: Praeger. ISBN 0-275-98513-X.
- Faure, Guy; Schwab, Laurent (2008). Japan-Vietnam: A Relation Under Influences. Singapore: NUS Press. ISBN 978-9971-69-389-3.
- Farrell, Epsey C. (1998). The Socialist Republic of Vietnam and the Law of the Sea: An Analysis of Vietnamese Behaviour within the Emerging International Oceans Regime. The Hague: Kluwer Law International. ISBN 90-411-0473-9.
- Froster, Frank (1993). Vietnam's Foreign Relations: Dynamics of Change. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies. ISBN 981-3016-65-5.
- Gottesman, E. (2003). Cambodia after the Khmer Rouge: Inside the Politics of Nation Building. New Haven, CT: Yale University Press. ISBN 978-0-300-10513-1.
- Haas, Michael (1991). Genocide by Proxy: Cambodian Pawn on a Superpower Chessboard. Westport, CT: ABC-CLIO. ISBN 978-0-275-93855-0.
- International Business Publications, USA (2008). Vietnam Diplomatic Handbook (5th ed.). Washington, DC: International Business Publications. ISBN 978-1-4330-5868-4.
- Jackson, Karl D. (1989). Cambodia, 1975–1978: Rendezvous with Death. Princeton, NJ: Princeton University Press. ISBN 978-0-691-07807-6.
- Jones, David M.; Smith, M.L.R. (2006). ASEAN and East Asian International Relations: Regional Delusions. Cheltenham, UK/Northampton, MA: Edward Elgar Publishing Limited. ISBN 978-1-84376-491-5.
- Kiernan, Ben (2002). The Pol Pot regime: race, power, and genocide in Cambodia under the Khmer Rouge, 1975–79. Yale University Press.
- Kiernan, Ben (2006). "External and Indigenous Sources of Khmer Rouge Ideology". ใน Westad, Odd A.; Quinn-Judge, Sophie (บ.ก.). The Third Indochina War: Conflict between China, Vietnam and Cambodia, 1972–79. New York: Routledge. ISBN 978-0-415-39058-3.
- Khoo, Nicholas (2011). Collateral Damage: Sino-Soviet Rivalry and the Termination of the Sino-Vietnamese Alliance. New York: Columbia University Press. ISBN 978-0-231-15078-1.
- Kiyono, Yoshiyuki et al. (2010). "Carbon stock estimation by forest measurement contributing to sustainable forest management in Cambodia". Japan Agricultural Research Quarterly: JARQ, 44(1), 81-92.
- Largo, V. (2004). Vietnam: Current Issues and Historical Background. New York: Nova Science Publishers. ISBN 1-59033-368-3.
- Luoma-Aho, T. et al. (2003). "Forest genetic resources conservation and management". Proceedings of the Asia Pacific Forest Genetic Resources Programme (APFORGEN) Inception Workshop, Kepong, Malaysia. 15-18.
- McCargo, Duncan (2004). Rethinking Vietnam. London: Routledge-Curzon. ISBN 0-415-31621-9.
- McElwee, Pamela (2004). "You say illegal, I say legal: the relationship between 'illegal' logging and land tenure, poverty, and forest use rights in Vietnam". Journal of sustainable forestry, 19(1-3), 97–135.
- Martin, Marie A. (1994). Cambodia: A Shattered Society. Berkeley, CA: University of California Press. ISBN 978-0-520-07052-3.
- Matthew, Richard Anthony; Brown, Oli; Jensen, David (2009). "From conflict to peacebuilding: the role of natural resources and the environment (No. 1)". UNEP/Earthprint.
- Mee, Lawrence D. (2005). "The role of UNEP and UNDP in multilateral environmental agreements". International Environmental Agreements: Politics, Law and Economics, 5(3), 227–263.
- Minang, Peter Akong; Murphy, Deborah (2010). REDD after Copenhagen: The way forward. International Institute for Sustainable Development.
- Morley, James W.; Nishihara, M. (1997). Vietnam Joins the World. New York, NY: M.E. Sharp. ISBN 1-56324-975-8.
- Morris, Stephen J. (1999). Why Vietnam invaded Cambodia: political culture and causes of war. Stanford, CA: Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-3049-5.
- O'Dowd, Edward C. (2007). Chinese military strategy in the third Indochina war: the last Maoist war. Abingdon, UK: Routledge. ISBN 978-0-203-08896-8.
- Peaslee, Amos J. (1985). Constitutions of Nations: The Americas. Vol. 2. Dordrecht, Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers. ISBN 90-247-2900-9.
- Phelps, Jacob; Webb, Edward L.; Agrawal, Arun (2010). "Does REDD+ threaten to recentralize forest governance?". Science, 328(5976), 312-313.
- Ra, Koy et al. (2011). "Towards understanding household-level forest reliance in Cambodia–study sites, methods, and preliminary findings". Forest and Landscape Working Papers, (60).
- Raison, Robert John; Brown, Alan Gordon; Flinn, David W. (2001). Criteria and indicators for sustainable forest management (Vol. 7). CABI.
- Raymond, Gregory. 2020. "Strategic Culture and Thailand's Response to Vietnam's Occupation of Cambodia, 1979–1989: A Cold War Epilogue". Journal of Cold War Studies.
- Salo, Rudy S. (2003). "When the Logs Roll Over: The Need for an International Convention Criminalizing Involvement in the Global Illegal Timber Trade". Georgetown Environmental Law Review, 16, 127.
- SarDesai, D.R. (1998). Vietnam, Past and Present. Boulder, CO: Westview Press. ISBN 978-0-8133-4308-2.
- Shiraishi, Masaya (1990). Japanese relations with Vietnam, 1951–1987. Ithaca, NY: Cornell Southeast Asia Program. ISBN 0-87727-122-4.
- Spooner, Andrew (2003). Footprint Cambodia. London: Footprint Handbooks. ISBN 978-1-903471-40-1.
- Stibig H-J. et al. (2014). "Change in tropical forest cover of Southeast Asia from 1990 to 2010". Biogeosciences, 11(2), 247.
- Trisurat, Yongyut (2006). "Transboundary biodiversity conservation of the Pha Taem Protected Forest Complex: A bioregional approach". Applied Geography, 26(3–4), 260–275.
- Swann, Wim (2009). 21st century Cambodia: view and vision. New Delhi: Global Vision Publishing House. ISBN 9788182202788.
- Thayer, Carlyle (1994). The Vietnam People's Army under Doi Moi. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies. ISBN 981-3016-80-9.
- Thayer (a), Carlyle A. (1999). Vietnamese foreign policy in transition. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies. ISBN 0-312-22884-8.
- Thu-Huong, Nguyen (1992). Khmer Viet Relations and the Third Indochina Conflict. Jefferson, NC: McFarland & Company. ISBN 978-0-89950-717-0.
- Vickery, Michael (1990). "Notes on the Political Economy of the People's Republic of Kampuchea (PRK)". Journal of Contemporary Asia, 20(4), 435-465.
- White, Nigel D. (2005). The Law of International Organisations (2nd ed.). Manchester: Manchester University Press. ISBN 1-929446-77-2.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- Albert Grandolini, Tom Cooper, & Troung (January 25, 2004). "Cambodia, 1954–1999; Part 1". Air Combat Information Group (ACIG). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2014. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010.
{{cite web}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - Albert Grandolini, Tom Cooper, & Troung (January 25, 2004). "Cambodia, 1954–1999; Part 2". Air Combat Information Group (ACIG). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 17, 2013. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010.
{{cite web}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - The Khmer Rouge National Army: Order of Battle, January 1976
- The Fall of the Khmer Rouge
- 1979: Vietnam forces Khmer Rouge retreat
- Meanwhile: When the Khmer Rouge came to kill in Vietnam เก็บถาวร 2005-10-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Second Life, Second Death: The Khmer Rouge After 1978
- Slocomb M. "The K5 Gamble: National Defence and Nation Building under the People's Republic of Kampuchea". Journal of Southeast Asian Studies, 2001;32(02):195–210